E-Commerce คืออะไร?
E-Commerce ย่อมาจากคำว่า Electronic Commerce แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่นิยมคือ วิทยุ โทรทัศน์ และที่มีการใช้งานมากที่สุดในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ และคลิปวิดีโอในการทำธุรกิจได้ การทำธุรกิจแบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการได้เป็นอย่างดี
ทำไมจึงควรทำ E-Commerce?
ปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และการใช้งานอินเตอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชียลมีเดีย ค้นหาข้อมูล เช็คอีเมล ดูโทรทัศน์หรือฟังเพลงออนไลน์ เป็นต้น ทำให้หลายธุรกิจจึงหันมาทำ E-Commerce กันมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าดังกล่าว อีกทั้งธุรกิจ E-Commerce ยังมีข้อดีและประโยชน์ในหลายด้านซึ่งสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ไม่ต้องมีหน้าร้าน สามารถโชว์ตัวอย่างสินค้าเป็นรูปหรือคลิปวิดีโอบนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียได้
2. ไม่ต้องใช้พนักงานขาย สามารถแสดงข้อมูลต่างๆ พร้อมระบบที่สามารถทำการซื้อขายได้อัตโนมัติ หรือติดต่อทางร้านได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้เปิดขายและรองรับลูกค้าได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
3. เพิ่มโอกาสในการขาย ร้านค้ามีโอกาสเข้าถึงทุกคนที่มีอินเทอร์เน็ตได้ จึงสามารถมีลูกค้าได้จากทั้งประเทศและทั่วโลก หมดปัญหาเรื่องการเดินทาง
4. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ จึงสามารถนำเงินไปลงทุนในด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้ เช่น การขยายธุรกิจ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
5. ทำการตลาดได้แม่นยำและสามารถวัดผลได้ สามารถใช้เว็บไซต์ขายสินค้าและโชเชียลมีเดียเก็บข้อมูลลูกค้ารวมถึงผู้เยี่ยมชม และนำไปใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ได้ตรงเป้าหมาย อีกทั้งยังมีระบบที่สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพได้ซึ่งต่างจากการลงโฆษณาในสื่อออฟไลน์ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น
10 คุณสมบัติของเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดี
เว็บไซต์ถือเป็นตัวกลางระหว่างร้านค้าและลูกค้า การจะขายสินค้าได้หรือไม่ได้นั้นส่วนหนึ่งก็มาจากเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง E-commerce แบบธุรกิจกับผู้ซื้อปลีก (B-to-C) ทำให้มีการแข่งขันสูง การทำเว็บไซต์ให้มีระบบการจัดการที่ดีต่อเจ้าของธุรกิจและเป็นมิตรกับลูกค้าผู้ใช้งาน จะช่วยลดภาระต่างๆ ของผู้ประกอบการได้มากและปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น วันนี้เราจะมาแชร์ ซึ่งสามารถสรุปรายละเอียดของเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดีได้เป็นหัวข้อดังนี้
1. User-Friendly
การอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้งาน หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะออกจากเว็บไซต์ ถ้าคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย คุณต้องวางโครางสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน หลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ลองทดสอบเว็บไซต์ แบ่งให้คนในทีม หรือคนรอบข้างใช้งานดู และนำคอมเม้นท์ที่ได้มาปรับใช้ เพื่อให้คุณได้เว็บไซต์ E Commerce ที่ใช้งานง่ายที่สุด
2. ระบบสั่งซื้อ/ตะกร้าสินค้า
ฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ E Commerce จะขาดไปไม่ได้ ระบบตะกร้าสินค้า หรือระบบสั่งซื้อ เป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าของคุณสามารถซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ระบบตะกร้าสินค้าที่ดีจะต้องสามารถคำนวนราคาสินค้าได้อย่างแม่นยำ แจกแจงรายละเอียดสินค้าถูกต้อง จำนวน ราคา ส่วนลด ค่าขนส่ง และพาลูกค้าของเราไปจบที่หน้าชำระเงินได้ ครบ จบ ในที่เดียว
3. Search & Filter
ฟีเจอร์ Search หรือ Filter ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับเว็บไซต์ E Commerce เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเว็บไซต์ของเรามีสินค้าอะไรบ้าง ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ลูกค้าตามหาสินค้าที่ต้องในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
4. สินค้าที่เกี่ยวข้อง
การแนะนำสินค้าที่มีความเกี่ยวข้อง หรือใกล้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่เข้ามาช้อปในเว็บไซต์ หากคนที่เข้ามาไม่พบสินค้าที่เขาต้องการ หรือสินค้านั้นหมดสต๊อก ระบบแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะช่วยให้คุณมีโอกาสสร้างยอดขายได้
5. Social Proof
Social Proof หรือการใช้บุคคลมาบอกต่อกับลูกค้า ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยโน้มน้าวลูกค้าให้กล้าตัดสินใจซื้อ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการรีวิวสินค้านี่แหล่ะ มีนักช้อปออนไลน์กว่า 95% ที่อ่านรีวิวสินค้า และมี 57% เลือกซื้อสินค้า หรือบริการที่มีรีวิว 4 ดาวขึ้นไป
6. ความปลอดภัยของเว็บไซต์
เพราะลูกค้าชำระเงินผ่านเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธุรกิจและแบรนด์ใหญ่ๆ มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ หน้าที่ของเราคือสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า การใช้ SSL หรือเว็บไซต์ที่เป็น HTTPS จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ให้ลูกค้าช้อปได้อย่างมั่นใจบนเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับของ Google อีกด้วย
7. ช่องทางการรับชำระเงิน
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เว็บไซต์ E Commerce จะขาดไปไม่ได้ การให้ความสะดวกกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก รับได้ทั้งบัตรเดบิต และบัตรเครดิต ลูกค้าที่ซื้อสินค้าออนไลน์กว่า 48% เลือกชำระสินค้าด้วยบัตรเครดิต หากคุณต้องเข้าลูกค้ากลุ่มนี้ ลองอ่านบทความ Payment Gateway มันอาจช่วยให้คุณรู้จัก และเลือก Payment Gateway ที่เหมาะกับธุรกิจคุณได้
8. ข้อมูลการจัดส่งสินค้า
เว็บไซต์ E Commerce ที่ดีจะต้องบอกรายละเอียดของการจัดส่งสินค้า ผู้ให้บริการขนส่งเป็นใคร มีกี่ตัวเลือก ใช้เวลานานเท่าไหร่ คิดค่าขนส่งอย่างไร นอกจากนี้ มีสถิติพบว่าลูกค้าจะตัดสินใจซื้อมากขึ้น 30% เมื่อร้านค้านั้นบริการส่งฟรี
9. หน้าติดต่อเรา
สิ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ E Commerce มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดคงหนีไม่หน้าเพจ Contact us หรือ ติดต่อเรา ที่บอกรายละเอียดที่อยู่ และช่องทางการติดต่อของเราไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจว่าสามารถติดต่อหาเราได้หากเกิดปัญหาขึ้น นอกจากนี้หากธุรกิจของคุณมีหน้าร้าน หรือมีหลายสาขา การเชื่อมต่อกับ Google Map ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถไปร้านคุณได้อย่างถูกต้องอีกด้วย
10. นโยบายการคืนสินค้า
เป็นไปได้ที่ลูกค้าอาจไม่พอใจกับสินค้าที่ได้รับ และมาจากหลายสาเหตุ สินค้าอาจมีข้อบกพร่อง เกิดการชำรุด หรือสินค้าไม่ตรงกับที่สั่ง แน่นอนว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการก็คือการขอเปลี่ยน หรือขอเงินคืน เว็บไซต์ E Commerce จึงควรทำนโยบายการคืนสินค้าเป็นลายลักษณ์อักษรหรือมีภาพประกอบให้ชัดเจน นโยบายยังเป็นอีกคุณสมบัติที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้า
และนี่คือ 10 คุณสมบัติของเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดี จะเห็นได้ว่าการทำธุรกิจ E-Commerce นั้นมีประโยชน์หลายๆ ด้าน โดยมีสิ่งสำคัญอยู่ที่เว็บไซต์ขายสินค้าที่สามารถอำนวยความสะดวกทั้งแก่เจ้าของธุรกิจและลูกค้า หลายคนอาจจะสงสัยว่าสามารถใช้โซเชียลมีเดียที่เปิดให้ใช้งานได้ฟรีอย่าง Facebook หรือ Instagram ขายสินค้าแทนเว็บไซต์ได้หรือไม่ บางธุรกิจหรือผู้ที่ยังไม่มีทุนทรัพย์ไม่พร้อม สามารถเริ่มต้นจากการใช้โซเชียลมีเดียก็ได้ แต่เนื่องจากการใช้บริการโซเชียลมีเดีย ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ หากคุณอยากเริ่มต้นทำทำเว็บไซต์ E-Commerce สามารถปรึกษาได้กับเจ้าหน้าที่ญ The ProContent เลยครับ
Credit :
https://surveymarketthailand.com/newsth/https://thesis4u2000.com/%e0%b8%9a%e0%b8%97%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1/